วันอังคารที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

อินซูลินคืออะไร?


อินซูลินเป็นฮอร์โมนที่ตับอ่อนสร้างขึ้น มีหน้าที่นำน้ำตาลในเลือดไปยังเนื้อเยื่อต่างๆของร่างกาย เพื่อสร้างเป็นพลังงาน อินซูลินนั้นนอกจากตับอ่อนเป็นผู้ผลิตแล้ว ยังสามารถสกัดจากตับอ่อนของหมูและวัว และการสังเคราะห์โดยวิธีพันธุกรรม สร้างอินซูลินที่เหมือนกับอินซูลินของมนุษย์ ซึ่งมีโอกาสแพ้น้อยกว่าและนิยมมากกว่าอินซูลินที่มาจากสัตว์


อินซูลินสามารถแบ่งได้หลายชนิด ตามระยะเวลาที่ออกฤทธิ์ คือ
ชนิดออกฤทธิ์เร็วมาก มีลักษณะใส ไม่มีสี ออกฤทธิ์ในเวลา 10-15 นาที ออกฤทธิ์สูงสุดที่ 1-3 ชั่วโมง และออกฤทธิ์นาน 3-5 ชั่วโมง ใช้ฉีดเมื่อต้องการลดระดับน้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหารมื้อนั้นๆ
ชนิดออกฤทธิ์เร็วและสั้น มีลักษณะใส ไม่มีสี ออกฤทธิ์ในเวลา 30-60 นาที ออกฤทธิ์สูงสุดที่ 2- 4 ชั่วโมง และออกฤทธิ์นานประมาณ 5-7 ชั่วโมง ส่วนใหญ่จะใช้ฉีดก่อนรับประทานอาหาร 30 นาที เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลหลังอาหารหรือเพื่อลดน้ำตาลในเลือดให้ลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากมีระดับน้ำตาลที่สูงมากๆ
ชนิดออกฤทธิ์ปานกลาง ลักษณะเป็นสารละลายขุ่น ต้องเขย่าก่อนใช้เพื่อให้เข้ากัน ออกฤทธิ์ในเวลา 2-4 ชั่วโมง ออกฤทธิ์สูงสุดวที่ 6-12 ชั่วโมง และออกฤทธิ์นานประมาณ 18-24 ชั่วโมง ใช้เป็นอินซูลินหลักในการรักษาโรคเบาหวาน
ชนิดออกฤทธิ์ยาว มีลักษณะใส ไม่มีสี ออกฤทธิ์ในเวลา 2ชั่วโมง ไม่มีระยะที่ออกฤทธิ์สูงสุด และออกฤทธิ์นาน 25 ชั่วโมง ใช้สำหรับฉีดเพื่อให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นในปริมาณหนึ่งตลอดทั้งวัน และป้องกันระดับน้ำตาลตก
ชนิดผสม ลักษณะเป็นสีขุ่น เป็นผสมระหว่างอินซูลินออกฤทธิ์เร็วกับอินซูลินชนิดออกฤทธิ์ปานกลาง ในอัตราส่วนต่างๆ ต้องก่อนใช้ทุกครั้ง

อาการที่เกิดจากปริมาณของอินซูลินไม่สมดุลกับน้ำตาล ในกรณีที่น้ำตาลในเลือดต่ำ เนื่องจากมีการใช้อินซูลินมากเกินไป อาจทำให้ปวดศีรษะ เหงื่อออก ตัวเย็น ใจสั่น อ่อนเพลีย ชาริมฝีปาก หงุดหงิด การมองไม่ชัดเจน และในกรณีที่น้ำตาลในเลือดสูง เนื่องจากปริมาณอินซูลินน้อยเกินไป อาจมีอาการปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ มึนงง ถ้าหากเป็นลมควรนำส่งแพทย์ทันที

สำหรับผู้ป่วยที่จำเป็นต้องฉีดอินซูลินทุกวัน มักมีความกังวลใจในการพกพาอินซูลินว่าต้องใส่ในน้ำแข็งตลอดเวลา จริงๆแล้ว อินซูลินที่ยังไม่ได้เปิดใช้ หากเราเก็บไว้ที่ๆมีอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส จะเก็บได้นานเท่ากับอายุที่ระบุไว้ข้างขวด แต่ถ้าเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องหรือประมาณ 25 องศาเซลเซียลก็จะเก็บไว้ได้นาน 1 เดือน ส่วนอินซูลินที่เปิดใช้แล้วและเก็บอยู่ในปากกาฉีดอินซูลินสามารถเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องได้นาน 30 วันเช่นกัน ส่วนอินซูลินแบบขวดที่เปิดใช้แล้วและเก็บไว้ในอุณหภูมิ2-8 องศาเซลเซียสจะเก็บได้นาน 3 เดือน นับจากวันเปิดขวด และเก็บได้นาน 30 วันหากเก็บไว้ในอุณหภูมิห้องนะคะ ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องนำไปแช่ในช่องแข็ง และไม่ควรเก็บไว้ในอุณหภูมิสูงๆ อาจทำให้ยาเสื่อมคุณภาพและไม่ควรนำมาใช้ แม้แต่การเก็บอินซูลินไว้บริเวรฝาตู้เย็นก็ไม่ควรกระทำเนื่องจากมีอุณหภูมิที่ไม่คงที่

ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะฉีดอินซูลินเข้าสู่ร่างกาย บ้างก็ฉีดบริเวณ หน้าท้อง หน้าขาทั้ง 2 ข้าง สะโพก ต้นแขนทั้ง 2 ข้าง ก่อนจะทำการฉีดก็ควรเช็ดบริเวณนั้นให้สะอาดด้วยแอลกอฮอร์ และเมื่อดึงเข็มออกมาก็ให้ใช้สำลีกดเบาๆ ห้ามคลึงนะคะ เพราะอาจทำให้ยาถูกดูดซึมเร็วเกินไป ทำให้น้ำตาลตกได้คะ การฉีดอินซูลินไม่ควรฉีดซ้ำที่เดิมมากกว่า 1 ครั้งในระยะเวลา 1-2 เดือน ควรฉีดห่างจากจุดเดิมประมาณ 1นิ้ว เพี่อป้องกันการเกิดก้อนไตบริเวณที่ฉีดคะ

สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้นไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือไปใช้เป็นพลังงานได้เต็มที่เนื่องจากขาดอินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ ทำให้ผู้ป่วยปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด เกิดโรคแทรกซ้อน อย่าง โรคติดเชื้อเป็นแผลหายยาก โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไต โรคตา อินซูลินจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานนะคะ

อย่ารอให้ร่างกายเราไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ หันมาใส่ใจดูแลร่างกายของเราเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตับอ่อนแหล่งให้กำเนิดอินซูลินตามธรรมชาติ จะได้ไม่ต้องหาอินซูลินจากนอกร่างกายมาทดแทน…นะคะ

อาการและสาเหตุ ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ


อาการและสาเหตุ ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ



ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ( thrombocytopenia ) ก็ต่อเมื่อจำนวนเกล็ดเลือดน้อยกว่า 150,000 ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร และถ้าต่ำกว่า 20,000 มีโอกาสเลือดออกได้เองโดยไม่ต้องมีบาดแผล ซึ่งโดยปกติเกล็ดเลือดจะอยู่ที่ 150,000-450,000 ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร ทำให้เลือดออกผิดปกติ หยุดยาก ผู้ป่วยบางรายไม่แสดงอาการใด แต่บางรายมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำมาก ต้องได้รับการรักษาทันที อาจเกิดเลือดออกจนเสียชีวิตได้


เกล็ดเลือดคืออะไร? สำคัญอย่างไร?

เกล็ดเลือดเป็นส่วนหนึ่งของเม็ดเลือด สร้างในไขกระดูก ทำหน้าที่ให้เลือดอยู่ในภาวะปกติ ไม่เกิดเลือดออกง่าย แต่หยุดยาก มีอายุ 8-10 วัน ก็จะถูกทำลายโดยม้าม และเกล็ดเลือดใหม่ก็ถูกผลิตทดขึ้นมาแทน



เลือดแข็งตัวสัมพันธ์กับเกล็ดเลือดอย่างไร? เลือดเป็นของเหลวที่ไหลเวียนทั่วร่างกาย หากมีการฉีกขาดของหลอดเลือดจะมีเลือดออก เมื่อนั้นร่างกายจะเข้าสู่กระบวนการหยุดเลือดออก เกล็ดเลือดเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนี้ เกล็ดเลือดจะไปเกาะตัวกันอย่างหลวมๆที่ผิวด้านในของหลอดเลือด ต่อจากนั้นจะการกระตุ้นให้เกิดโปรตีนไฟบริน ( fibrin ) เข้าไปทำให้เกาะตัวกันแน่นขึ้น และทำให้เลือดหยุดไหล แต่ทั้งนี้เนื้อเยื้อภายนอกต้องมีความแข็งแรงด้วย เลือดจึงจะหยุดได้ดี ต่อจากนั้นร่างกายจะกำจัดก้อนเลือดที่เกาะกันนั้นออกไป หลอดเลือดก็จะกลับคืนสู่ภาวะปกติ ไม่มีสิ่งอุดตัน

เกล็ดเลือดต่ำมีอาการเช่นไร? เมื่อเกล็ดเลือดต่ำมากๆ จะมีอาการเลือดออกจากเกล็ดเลือด ทำให้ผิวหนังเป็นจุดแดงๆ กดแล้วไม่หายไป หรือเป็นจ้ำเลือด บางคนเรียกว่า “พรายน้ำ” จ้ำเลือดจะมีสีม่วงปนเหลืองเนื่องจากเม็ดเลือดแดงที่อยู่ในต่ำแหน่งเลือดอออกแตกตัวให้สารสีเหลือง บางคนมีเลือดออกในช่องปาก เหงือก บางคนปัสสาวะหรืออุจจาระเป็นเลือด หรือถ่ายสีดำเหมือนยางมะตอย บางรายมีเลือดออกภายใน ทำให้ช็อค และเสียชีวิตได้
ภาวะเกล็ดเลือดต่ำเกิดจากสาเหตุใด ?
เกิดจากการสร้างเกล็ดเลือดได้น้อย จากโรคต่างๆ เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือจากยาที่กดการสร้างเม็ดเลือดที่ไขกระดูก เช่น ยาเคมีบำบัด ยากดภูมิต้านทาน
เกิดจากเกล็ดเลือดถูกทำลาย ด้วยโรคบางชนิด เช่น โรคเอสแอบอี ไข้เลือดออก , ไอทีพี และด้วยยาบางชนิด ที่พบบ่อยคือ ยาเฮพาริน (Heparin) เป็นยาต้านการแข็งตัวของเลือด
เกิดจาการที่เกล็ดเลือดถูกบีบให้ไปอยู่ในที่หนึ่งมากเกินไป ทำให้เกล็ดเลือดในกระแสเลือดลดลง
เกิดจากการใช้เกล็ดเลือดมากเกินไป เนื่องจากภาวะ DIC ( intravascular coagulation) เป็นภาวะที่มีลิ่มเลือดกระจายไปในหลอดเลือดทั่วร่างกาย ,การติดเชื้อรุนแรง,การช็อก และเนื้อเยื้อขาดออกซิเจน เป็นต้น
เกิดจากปริมาณน้ำในร่างกายมาก( dilutional thrombocy topenia) พบในผู้ป่วยที่ได้รับน้ำเกลือหรือสารน้ำคอลลอยด์มากเกินไป หรือได้รับส่วนประกอบอื่นๆของเลือดในปริมาณมาก เช่น ได้รับเม็ดเลือดแดงอย่างเดียว โดยไม่ได้รับเกล็ดเลือดร่วมด้วย
ดูแลตนเองอย่างไรดี เมื่อมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ

ควรระวังการกระแทกแรงๆหรือการทำให้เกิดบาดแผล มีเลือดออก เช่นการแปรงฟันแรงเกินไป หลีกเลี่ยงงานที่มีความเสี่ยง อย่างการทำงานในที่สูง การแข่งรถ เพื่อป้องการการเกิดอุบัติเหตุ เสียเลือด นอกจากนี้เมื่อต้องพบแพทย์ควรแจ้งทุกครั้งว่าตนเองมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เช่น การถอนฟัน การผ่าตัด ทานยาตามคำแนะนำแพทย์ และหันมาใส่ใจสุขภาพทั้งในเรื่องอาหาร การออกกำลังกายที่พอเหมาะและการพักผ่อน



อาหารที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ต้องการสารอาหารที่ช่วยในการสร้างเลือด คือ
Vitamin E เช่น อาหารทะเล จมูกข้าว ข้าวกล้อง ไข่ เมล็ดพืชและถั่ว
Vitamin K เช่น เครื่องในสัตว์ ผักใบเขียว มันฝรั่ง
Folic Acid or Folate (โฟเลต)เช่น ผลไม้ ถั่วฝัก ผักใบเขียวเข้ม ตับ
Iron (ธาตุเหล็ก) เช่น ตับ ปลา เนื้อแดง แป้งถั่วเหลือง ลูกเกด ถั่วฝัก
อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ

ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เป็นโรคนี้มีความจำเป็นที่ต้องการรับบริจาคเกล็ดเลือดอย่างมาก หากมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำมาก มีบาลแผล หรือต้องได้รับการผ่าตัด เกล็ดเลือดที่รับการบริจาคต้องมาจากคนอย่างน้อย 6-8 คนจึงจะเพียงพอที่จะไปหยุดเลือดที่ไหลได้ และผู้ป่วยบางรายต้องการเกล็ดเลือดใหม่มาทดแทนทุกๆสัปดาห์ ทุกวันนี้โลหิตที่ได้รับบริจาคไม่เพียงพอต่อจำนวนของผู้ป่วย อยากเชิญชวนไปร่วมกันบริจาคโลหิตตามสถานพยาบาลใกล้บ้านกันคะ การบริจาคโลหิตในแต่ละครั้งจะช่วยต่ออายุผู้ป่วยได้จำนวนไม่น้อยคะ

10 อาหารกินแล้วอยู่ท้อง ..ช่วยให้อิ่มนาน คนไดเอทห้ามพลาด!!


10 อาหารกินแล้วอยู่ท้อง ..ช่วยให้อิ่มนาน คนไดเอทห้ามพลาด!!



สาวๆ ทุกคนต้องมีช่วงเวลาไดเอทกันบ้างล่ะ คุณก็เป็นคนหนึ่งใช่มั้ยคะ? การไดเอทหรือลดความอ้วนเมื่อรู้สึกได้ว่าตัวเองอ้วนเกินไปแล้ว และการไดเอทนั้นจะสำเร็จไม่ได้เลย ถ้าคุณไม่มีการควบคุมอาหารที่ดี ซึ่งหลายๆ คนต้องเจอกับปัญหาเมื่ออดอาหารแล้วความหิวก็เข้ามาโจมตีจนทนไม่ไหวเอาได้ มีอาหารที่ช่วยให้การไดเอทของคุณสำเร็จได้ง่ายขึ้น เพราะทานแล้วอยู่ท้องนาน อิ่มสบายท้อง


1. เมล็ดเจีย
เมล็ดเจียเม็ดเล็กๆ ที่อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 มากกว่าในปลาแซลมอนถึงร้อยละ 30 มีไฟเบอร์สูงมากๆ และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าผลบลูเบอร์รีอีกด้วย สาวๆ ทานได้โดยนำมาแช่ในน้ำเปล่าดื่มได้ตลอดวัน หรือใส่ในอาหาร น้ำผลไม้ นม สลัด หรือโยเกิร์ต

2. ถั่วแดง
ในถั่วแดงมีโปรตีนเทียบเท่ากับเนื้อสัตว์ โดยถั่วแดงเพียง 1 ถ้วยตวงมีโปรตีนเทียบเท่ากับเนื้อสัตว์ 28 กรัม จึงสามารถกินทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ ที่สำคัญคือ ทานแล้วอิ่มท้องแบบแคลอรีต่ำโดยถั่วแดงปรุงสุก 1 ถ้วยตวง ให้พลังงาน 225 แคลอรี ทั้งยังมีไฟเบอร์ประมาณร้อยละ 25 ของปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน สาวๆ ทานถั่วแดงควรระวังการเติมน้ำตาลและเกลือด้วยน๊า

3. ลูกแพร์
เพราะลูกแพร์เป็นผลไม้ที่มีไฟเบอร์เพคตินอยู่สูงและสูงมากกว่าผลแอปเปิลซะอีก ที่สำคัญคือ เปลือกของลูกแพร์อุดมด้วยประโยชน์มากมายที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และช่วยบำรุงหลอดเลือดให้แข็งแรงอีกด้วย ดังนั้นอย่าลืมว่าทานลูกแพร์ได้ทั้งผลโดยไม่ต้องปอกเปลือกนะคะ

4. เจลาติน
อาหารประเภทเจลาตินอย่างเช่น อาหารประเภทวุ้น เส้นบุก และสาหร่ายซึ่งอุดมไปด้วยไฟเบอร์สูงถึงร้อยละ 80 และมีแคลอรีเป็นศูนย์ ให้แต่ไฟเบอร์ล้วนๆ ทานแล้วอิ่มอยู่ท้อง สาวๆ เลือกทานอาหารประเภทนี้ก็ควรระวังการปรุงอาหารด้วยรสต่างๆ และน้ำตาลด้วยนะคะ 5. ข้าวบาร์เล่ย์
เป็นธัญพืชที่มีไฟเบอร์สูงถึงร้อยละ 75 เมื่อทานข้าวบาร์เล่ย์เข้าไปไฟเบอร์นั้นจะถูกย่อยให้แตกตัวเป็นกรดบิวไทลิก (Butyric acid) มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง และยังบำรุงหัวใจอีกด้วย สาวๆ สามารถนำมาดัดแปลงเป็นเมนูอาหารต่างๆ เช่น เพิ่มในสลัดผัก ทำเป็นเมนูซุป โจ๊ก ข้าวต้ม หรือแม้แต่เพิ่มในเครื่องดื่มต่างๆ ได้ด้วยค่ะ

6. ไข่
ไข่ที่หาทานได้ง่ายๆ ราคาถูก ปรุงอาหารได้หลากหลายเมนู ทานแล้วทำให้รู้สึกอิ่มท้องนาน เพราะโปรตีนในไข่จะช่วยให้แป้งและน้ำตาลถูกย่อยและดูดซึมอย่างช้าๆ ร่างกายจะค่อยๆ ย่อยเป็นพลังงาน และทยอยใช้พลังงานจนไม่เหลือไขมันสะสม แนะนำว่าทานไข่ต้มจะดีที่สุด หลีกเลี่ยงการปรุงด้วยน้ำมัน และในคนปกติไม่ควรทานไข่แดงมากเกินวันละ 1-2 ฟอง

7. อัลมอนด์
โดยถั่วทุกชนิดมีไขมันน้อยมาก แต่มีโปรตีน ไฟเบอร์ และธาตุเหล็กสูง แนะนำอัลมอนด์ ซึ่งมีส่วนประกอบของโปรตีน ไขมันดี และเส้นใยอาหาร ช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญไขมันออกจากกล้ามเนื้อ ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี สาวๆ ที่เลือกทานเป็นอาหารว่างมีโอกาสผอมเร็วกว่าคนที่ไม่รับประทานค่ะ

 8. ข้าวโอ๊ต
ข้าวโอ๊ตซึ่งมีไขมันต่ำ อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามิน เกลือแร่และสารแอนตี้ออกซิแดนท์ โดยเฉพาะเส้นใยละลายน้ำเบต้ากลูแคน ช่วยลดไขมัน ระดับน้ำตาลและคอเลสเตอรอลในเลือด ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ ทั้งยังช่วยป้องกันหรือรักษาอาหารท้องผูก ไฟเบอร์ในข้าวโอ๊ตจะดูดซึมน้ำไว้ในปริมาณมาก ทำให้กระบวนการย่อยอาหารเป็นไปอย่างช้าๆ ส่งผลให้รู้สึกอิ่มได้นาน ไม่หิวง่าย

 9. ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองต่างๆ
เช่น น้ำเต้าหู้ เต้าหู้ถั่วเหลือง ถัวเหลืองอบ มีสารเลซิทิน ที่สามารถลดไขมันและดีต่อระบบประสาทความจำ มีไฟโตเอสโตรเจนดีต่อผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน และลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านม นอกจากนี้เต้าหู้ยังให้โปรตีนเช่นเดียวกับเนื้อสัตว์ มีไขมันที่ดี คุณสาวๆ จึงสามารถเลือกเต้าหู้มาใช้ประกอบอาหารแทนเนื้อสัตว์ได้

10. กล้วยหอม
ด้วยมีไฟเบอร์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "สารต้านแป้ง" ช่วยทำให้ร่างกายย่อยอาหารช้าลง ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ คนที่รับประทานกล้วยจึงรู้สึกหิวช้ากว่าปกติ สาวๆ เลือกทานกล้วยหอมเป็นของว่างแทนขนมหวาน แต่ควรเลือกกล้วยที่ไม่สุกมากจนเกินไปเพราะมีน้ำตาลน้อยกว่า


จัดการความหิวในช่วงการไดเอทได้ง่ายๆ สาวๆ เลือกทานอาหาร 10 อย่างที่เราแนะนำมา และเน้นทานผักผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูงๆ รสชาติหวานน้อย และไม่ควรละเลยอาหารหลัก 5 หมู่ ซึ่งต้องควบคุมอย่างพอเหมาะ พร้อมกับการออกกำลังกายที่เหมาะสม เชื่อได้ว่าสาวๆ ที่ทำตามได้ดังนี้ จะมีหุ่นสวยเพียวสมส่วนได้ ไม่ยากเลยค่ะ


วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

โลหิตจาง

โรคโลหิตจาง อาการป่วยของคนขาดธาตุเหล็ก



ดูแลตนเองเมื่อเป็นโลหิตจาง (e-magazine)




โลหิตจางเป็นความผิดปกติของเลือดที่พบได้บ่อยที่สุด


โรงพยาบาลหลายแห่งกำลังขาดแคลนเลือด ซึ่งทีมงามอีแมกกาซีนก็พร้อมที่จะช่วยเหลือสังคม แต่ทว่าหนึ่งสาวในทีมของเรากลับไม่สามารถบริจาคเลือดได้ แม้ว่าเธอจะดูแลร่างกายและพักผ่อนนอนหลับอย่างเพียงพอแล้วก็ตาม โดยคุณหมอได้ให้เหตุผลว่า เธอมีอาการของโลหิตจาง ซึ่งวันนี้เราคุณผู้อ่านมาทำความรู้จักกับโรคที่ว่านี้กัน


ภาวะโลหิตจาง (Anemia) เป็นโรคทางโลหิตวิทยาที่พบบ่อยที่สุด โดยเกิดจากการมีจำนวนเม็ดโลหิตแดงน้อยหรือมีการทำงานที่ผิดปกติ สีของเม็ดเลือดแดงมาจากฮีโมโกลบิล ซึ่งเป็นสารประกอบที่มีธาตุเหล็กเป็นตัวนำออกซิเจน


สำหรับการเกิดของโรคโลหิตจางก็เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เช่น เกิดจากการขาดอาหาร การเผาผลาญบกพร่อง ยาบางชนิด ได้รับสารพิษ เสียโลหิตเป็นจำนวนมาก เป็นมะเร็งและโรคอื่นอีกหลายชนิด






คุณเป็นโลหิตจางหรือไม่


ผู้ป่วยมักมาด้วยอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง ผิวซีด หอบเหนื่อย หัวใจเต้นแรง แต่การวินิจฉัยที่แน่นอนคือการตรวจเลือด (CBC) แล้วใครบ้างละเสี่ยงต่อการขาดธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของการเกิดโรค


กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะโลหิตจาง ได้แก่ สตรีมีครรภ์ สตรีหลังคลอด สตรีมีประจำเดือน และเด็กในวัยเจริญเติบโต ผู้หญิงที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์จะมีการสร้างเม็ดเลือดแดงเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ร่างกายสามารถนำสารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงคุณแม่ และทารกในครรภ์อย่างเพียงพอ


ส่วนสตรีหลังคลอดจะสูญเสียธาตุเหล็กไปกับเลือดขณะคลอด ดังนั้น ร่างกายต้องการธาตุเหล็กมากกว่าปกติเช่นกัน สำหรับเด็กจะต้องการธาตุเหล็กโดยเฉลี่ย 1 มิลลิกรัมต่อวัน จึงเพียงพอต่อร่างกายที่กำลังเจริญเติบโต แต่ธาตุเหล็กจากอาหารจะได้รับการดูดซึมไม่ดีนัก หรือเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น ดังนั้นเพื่อป้องกันภาวะโลหิตจางในเด็กจึงควรได้รับธาตุเหล็กวันละ 8 ถึง 10 มิลลิกรัม ทั้งนี้ ความต้องการธาตุเหล็กของเด็กที่ดื่มนมแม่จะน้อยกว่านี้ เพราะธาตุเหล็กจากนมแม่จะดูดซึมได้ดีกว่าถึง 3 เท่าตัว






นอกจากนี้อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้โลหิตจางได้คือการได้รับสารตะกั่วเข้าสู่กระแสเลือดมากเกินไป เด็กในช่วงอายุระหว่าง 9 เดือน – 2 ปี จะเป็นช่วงเสี่ยงต่อการเป็นโรคโลหิตจางมากที่สุด เด็กที่อยู่ในช่วงวัยนี้ควรได้รับการตรวจเลือดเพื่อดูว่าเป็นโรคโลหิตจางหรือไม่ โดยเฉพาะเด็กที่เกิดก่อนกำหนดควรได้รับการตรวจเลือดเร็วกว่าช่วงอายุดังกล่าว


โลหิตจาง…ที่พบบ่อย


ชนิดขาดธาตุเหล็ก (Iron Deficiency Anemia) ซึ่งพบมากที่สุด เกิดจากร่างกายขาดธาตุเหล็ก ทำให้ไม่เพียงพอในการสร้างฮีโมโกลบิน อาจเกิดจากการรับประทานอาหารไม่เพียงพอ มีโรคลำไส้หรือเสียเลือด ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการมีประจำเดือนมากหรือมีการเสียโลหิตเรื้อรังจากสาเหตุอื่น


ชนิดไขกระดูกบกพร่องหรืออะพลาสติก (Aplastic) เกิดเมื่อไขกระดูกไม่สามารถสร้างเม็ดเลือดบางชนิดได้เพียงพอ เช่น เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว หรือเกล็ดเลือด แต่เม็ดเลือดที่ผลิตได้จะมีลักษณะทั่วไปเป็นปกติ สาเหตุที่เป็นไปได้คือ มีความผิดปกติทางพันธุกรรมหรือมีเนื้องอกของต่อมไทมัส การได้รับรังสีและสารเคมีบางชนิดหรือเกิดภายหลังโรคติดเชื้อ ภาวะนี้อาจเกิดขึ้นโดยไมทราบสาเหตุ





ชนิดขาดกรดโฟลิก (Folic acid Deficiency Anemia) มักเป็นผลจากการขาดวิตามินบีซึ่งจำเป็นในการสร้างฮีโมโกลบิน ภาวะโลหิตจางชนิดนี้พบบ่อยในโรคพิษสุรา และโรคลำไส้ ซึ่งพบน้อยกว่า


ชนิดเม็ดเลือดแดงแตกหรือฮีโมลิติก (Hemolytic Anemia) เกิดจากมีการทำลายเม็ดเลือดแดงเกินกว่าที่ร่างกายจะสร้างทัน บางครั้งเกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อต้านเซลล์เม็ดเลือดแดง


ชนิดขาดวิตามินบี หรือเพอร์นิเซียส (Pernicious Anemia) เกิดจากการขาดวิตามินบี 12 เนื่องจากกระเพาะอาหารไม่สามารถสร้างสารที่จำเป็นในการดูดซึมวิตามินเข้าสู่กระแสโลหิต




การรักษา


การรักษาโรคโลหิตจางในแต่ละชนิด มีแนวทางการรักษาที่ไม่เหมือนกัน หากสงสัยควรไปรับการรักษาจากแพทย์เฉพาะทาง แต่โดยทั่วไปควรรับประทานอาหารเสริมสุขภาพและได้สมดุล แต่ก็ไม่ควรรับประทานยาเม็ดธาตุเหล็ก หรืออาหารเสริมชนิดอื่น ๆ โดยไม่ปรึกษาแพทย์ การได้รับธาตุเหล็กมากเกินไป อาจเป็นอันตรายต่อตับ หัวใจ และอวัยวะอื่น ๆ


นอกจากนี้ คุณอาจเลือกรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็กได้เช่นกัน โดยเลือกจากแหล่งอาหารของธาตุเหล็กอยู่ในอาหารหลัก 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ


ธาตุเหล็กชนิดที่อยู่ในเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ และอาหารทะเล อาหารกลุ่มนี้จะมีธาตุเหล็กสูง และดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ดีที่สุด จะสังเกตได้จากเนื้อที่มีสีแดงยิ่งเข้มขึ้นแสดงว่ามีธาตุเหล็กสูง เมื่อรับประทานร่วมกับอาหารที่มิวิตามินซีสูง เช่น บรอคโคลี พริก มะเขือเทศ ฝรั่ง ส้ม จะยิ่งช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กได้มากขึ้น






ธาตุเหล็กชนิดที่มีอยู่ในไข่และพืช ผักใบเขียวต่าง ๆ รวมไปถึงถั่วเมล็ดแห้ง อาหารพวกนี้มีธาตุเหล็กสูง แต่ธาตุเหล็กในกลุ่มนี้จะดูดซึมเข้าร่างกายได้ไม่ดีนัก จึงควรรับประทานร่วมกับอาหารที่มีวิตามินซีสูงในมื้อเดียวกัน เพื่อช่วยในการดูดซึม







ฟิตเนสแนวใหม่คลาส“นอน”เบิร์นพลังงาน

ฟิตเนสแนวใหม่คลาส“นอน”เบิร์นพลังงาน



ฟิตเนสแห่งหนึ่งในอังกฤษเปิดคลาส การนอนเผาผลาญพลังงาน ใช้เวลาแค่45นาที แถมยังช่วยผ่อนคลายจิตใจได้ด้วย


วันนี้(30เม.ย.60)เว็บ Independent รายงานว่ายิมแห่งหนึ่งในสหราชอาณาจักร "เดวิด ลอยส์ ยิม" เปิดคลาสการออกกำลังกายแนวใหม่ด้วยการ "นอนเพื่อเผาผลาญแคลอรี" (Napercise) หลังจากผลวิจัยพบว่าคนส่วนมากรู้สึกว่าพวกเขาอ่อนเพลีย โดยคลาสจะเป็นการนอนพักผ่อนระยะเวลา 45 นาทีซึ่งเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการออกกำลังกาย

โดยจะเป็นกลางนอนช่วงเวลากลางวัน ทางยิมคาดหวังว่าน่าจะเป็นที่แพร่หลายออกไปทั่วประเทศ โดยผู้เข้าร่วมคลาสจะได้นอนบนเตียงเดี่ยวที่อยู่ในบรรยากาศที่เอื้อต่อการเผาผลาญแคลอรี

แคทลีน พิงค์แฮม ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับและเป็นหนึ่งในผู้ร่วมพัฒนาคลาสนี้กล่าวว่า การนอนหลับนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะนอกจากจะช่วยการผ่อนคลายในระยะสั้นแล้ว ยังส่งผลทางจิตใจในระยะยาวได้ เพราะอาการนอนไม่หลับอาจจะส่งผลกระทบทางจิตใจและความเครียด
ฟิตเนส,คลาสนอนเผาผลาญพลังงาน

แนะวิธีป้องกันอาการโรคหอบหืดกำเริบ


แนะวิธีป้องกันอาการโรคหอบหืดกำเริบ




สธ.แนะวิธีดูแลและป้องกันโรคหอบหืด ระบุสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันส่งผลทำให้คนไทยมีแนวโน้มป่วยเพิ่มขึ้น

วันนี้ (7พ.ค.60) นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า โรคหืด (Asthma) หรือหอบหืด เป็นโรคเรื้อรังที่พบได้บ่อยในประเทศไทยโดยพบในเด็กมากถึงร้อยละ 10 -12 ของเด็กทั้งหมด ส่วนผู้ใหญ่พบร้อยละ 6.9 ของประชากร จากข้อมูลของสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข ปี 2558 พบผู้ป่วยโรคหืด จำนวน 115,577 คนและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

นพ.เกียรติภูมิ กล่าวต่อว่า คนไทยมีแนวโน้มเป็นโรคหืดมากขึ้นมีปัจจัยจาก พันธุกรรมร่วมกับ สิ่งกระตุ้นต่างๆ โดยเฉพาะสิ่งกระตุ้นประเภทสารก่อภูมิแพ้ เช่น ควันบุหรี่ ควันพิษจากสิ่งแวดล้อม ไรฝุ่น แมลงสาบ เกสรดอกไม้ สปอร์เชื้อรา ขนหรือสะเก็ดรังแคผิวหนังของสัตว์เลี้ยง สารเคมีในที่ทำงาน การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ อากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย หรือการติดเชื้อไวรัสบางชนิด เป็นต้น

ทั้งนี้ ปัจจุบันโรคนี้ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมอาการของโรคให้สงบได้ และสามารถใช้ชีวิตได้เช่นเดียวหรือใกล้เคียงกับคนปกติ โดยการดูแลตนเองและให้ความร่วมมือกับแพทย์อย่างเคร่งครัด ดังนี้ 1. ตรวจสอบการหายใจ หรือสัญญาณเบื้องต้นก่อนที่อาการจะกำเริบ เช่น ไอ แน่นหน้าอก เหนื่อย หายใจ มีเสียงวี๊ด ให้รีบพบแพทย์ 2.รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ วัคซีนป้องกันโรคปอดบวม เพื่อป้องกันโรคที่เป็นตัวกระตุ้นอาการของโรคหืด 3.หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น สารก่อภูมิแพ้ต่างๆ สถานที่ที่มีฝุ่นควันและมลพิษ 4.ออกกำลังกายอย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้มีอาการหวัดเรื้อรัง หรือไซนัสอักเสบ และ5.พบแพทย์และรับการตรวจอย่างสม่ำเสมอ ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการใช้ยา เพื่อควบคุมอาการกำเริบอย่างสม่ำเสมอและถูกต้องจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆได้

ทั้งนี้ อาการของโรคหืด จะแตกต่างกันไป เช่น เหนื่อยหอบ หายใจลำบาก หายใจไม่อิ่ม หรือหายใจแล้วมีเสียงวี้ด เจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก ไอ เป็นต้น บางรายจะมีอาการเป็นพัก ๆ แล้วหาย แต่บางรายเป็นอย่างต่อเนื่อง และไม่สามารถคาดเดาได้ส่วนใหญ่มักมีอาการช่วงกลางคืน หากมีอาการหายใจหอบถี่ หรือหายใจลำบากมีเสียง อาการแย่ลงอย่างรวดเร็ว ใช้อุปกรณ์พ่นยา แล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือหายใจหอบเมื่อทำกิจกรรมที่ต้องใช้กำลังร่างกายเพียงเล็กน้อย ต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างเร่งด่วน หากช้าอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
สธ.,โรคหอบหืดกำเริบ,โรคหอบหืด,สิ่งแวดล้อม

วิกฤต!คนไทยป่วยโรคไตอันดับ3อาเซียน




เตือน! คนไทยกินยาผิดทำให้ป่วยโรคไตสูง เผยรายชื่อกลุ่มยาอันตรายนี้..กินแล้วถึงตาย!!

สสส.ชี้คนไทยป่วยเป็นโรคไตสูงถึงอันดับ3ในอาเซียน พร้อมระบุยาแก้ประจำเดือน-แก้ปวดกินผิดๆทำไตพัง หนำซ้ำสมุนไพรเถื่อน-ยาจีนเกลือนตลาดซื้อกินไตวายถึงตาย จี้อย.จัดการด่วน

วันนี้(9มี.ค.60)ที่ศศนิเวศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา(พย.)และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับนักวิชาการจากคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะทำงานสร้างเสริมความเข้มแข็งภาคประชาชนด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (สยส.) และเครือข่ายผู้ป่วยโรคไตจัดแถลงข่าว “ยาที่เป็นอันตรายต่อไต” เนื่องในวันไตโรค ซึ่งตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 2 ของเดือนมีนาคมทุกปี

ศ.นพ.ชัยรัตน์ ฉายากุล อายุรแพทย์โรคไต คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล และประธานอนุกรรมการโรงพยาบาลส่งเสริมการใช้ยาสมเหตุผล กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นหมอที่รักษาผู้ป่วยไตมาโดยตลอด พบว่าคนไทยป่วยเป็นโรคไตเรื้อรังสูงถึง 8 ล้านคน คิดเป็น 17% ของประชากรซึ่งสูงติดอันดับ 3 ในอาเซียนและมีแนวโน้มป่วยเพิ่มขึ้นทุกปี ส่วนใหญ่เกิดจากโรคเบาหวานหรือความดันเลือดสูง แต่ปัญหาคนไข้ไตที่เพิ่มสูงขึ้นเกิดจากการใช้ยาไม่ถูกต้อง ไม่ใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์ เพราะเชื่อว่าการกินยามากๆจะไปกระเทือนไตหรือเบื่อหน่ายในการกินยา นอกจากนั้นยังมีผู้ป่วยจำนวนมากที่ป่วยเป็นโรคไตด้วยสาเหตุจากการใช้ยาโดยตรง โดยเฉพาะผู้ที่กินยาแก้ปวดแก้อักเสบชนิดไม่ใช่ สเตียรอยด์หรือยากลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) มาเป็นเวลานาน ยาฆ่าเชื้อบางชนิด หรือยาจีน-ยาไทยที่หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาด ซึ่งในบางครั้งจะทำให้ไตเสื่อมมากขึ้นหรือหยุดทำงานได้ Advertisement

“การดูแลและป้องกันปัญหาโรคไต มี 4 หลักที่ควรทำเพื่อถนอมไตคือ ควรกินยารักษาอย่างต่อเนื่อง ควรสอบถามจนเข้าใจถึงยาทึ่กินอยู่ ควรแจ้งแพทย์ทุกครั้งว่าเป็นโรคอะไร และควรมีรายชื่อยาที่ใช้อยู่เป็นประจำพกติดตัวไว้เมื่อมาพบแพทย์ ส่วนหลัก 4 ไม่เพื่อป้องกันผลเสียของยาต่อไต คือ ไม่ควรหยุดยาเอง ไม่ควรซื้อยาแก้อักเสบ ยาฆ่าเชื้อ หรือยาบำรุงอาหารเสริมมากินเอง ไม่ควรหลงเชื่อคำโฆษณาในการกินยาที่ไม่รู้จัก และไม่ควรกินยาของผู้อื่น หากใช้ยาได้ถูกต้อง สมเหตุผล ปัญหาเรื่องไตก็จะลดลงมาก” ศ.นพ.ชัยรัตน์ กล่าว

ผศ.นพ.พิสนธิ์ จงตระกูล ประธานคณะทำงานสร้างเสริมความเข้มแข็งภาคประชาชนด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล กล่าวว่า ยากลุ่มเอ็นเสดเป็นยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เพื่อลดอาการปวด บวม แดง ร้อน มีที่ใช้หลากหลาย เช่นใช้บรรเทาปวดจากโรคเกาต์ ไมเกรน ข้อเข่าเสื่อม ปวดประจำเดือน และการปวดทางทันตกรรม เป็นต้น ยากลุ่มนี้หลายคนใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น อินโดเมทาซิน ไอบูเฟน ไพร็อกสิแคม ไดโคลฟีแนค เมฟีนามิกแอสิด เซรีค็อกสิบ และเมลล็อกสิแคม หากใช้ต้องใช้อย่างระมัดระวัง เพราะอาจทำให้ไตเสื่อมไตวาย จึงต้องใช้ให้ถูกขนาดหากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เท่านั้น ไม่ใช้ต่อเนื่องนานๆ ต้องมีการตรวจติดตามการทำงานของไต และหลีกเลี่ยงการใช้กับผู้ที่เป็นโรคไตอยู่เดิม แต่ปัจจุบันกลับพบว่ามีการใช้ยาเหล่านี้อย่างพร่ำเพรื่อทั้งในสถานพยาบาลภาครัฐและเอกชน ตลอดจนร้านขายยา รวมไปถึงการขายยาอย่างผิดกฎหมายตามร้านชำและรถเร่ โดยเฉพาะการซื้อขายในรูปแบบของ “ยาชุด” ซึ่งมีเอ็นเสดมากกว่า 1 ชนิดในยาชุดแต่ละซอง ซึ่งเป็นการซ้ำเติมให้เกิดพิษต่อไตอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น จึงควรควบคุมการใช้เอ็นเสดให้เป็นไปอย่างสมเหตุผลในการจ่ายยานี้จากทุกแหล่ง ทั้งสถานพยาบาลภาครัฐ เอกชนและควรบังคับใช้กฏหมายต่อการขายยาอย่างผิดกฎหมายเพื่อช่วยปกป้องประชาชน

ผศ.นพ.พิสนธิ์ กล่าวว่า ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มีการกำหนดให้ภายใต้แผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) สาขาที่ 15 เรื่อง “การใช้ยาอย่างสมเหตุผล” ได้กำหนดตัวชี้วัดเกี่ยวกับเอ็นเสดไว้ 2 ตัวชี้วัด ที่โรงพยาบาลทั้งหลายควรปฏิบัติให้ผ่านเกณฑ์ ได้แก่ การใช้เอ็นเสดซ้ำซ้อนในอัตราไม่เกินร้อยละ 5 และหลีกเลี่ยงการใช้เอ็นเสดในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังตั้งแต่ระดับ 3 ขึ้นไป ให้เหลือไม่เกินร้อยละ 10

ผศ.ภญ.ดร.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) ซึ่งสนับสนุนโดย สสส. และคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่าโรคไตของไทยเพิ่มมากขึ้น ส่งผลต่อภาระทางเศรษฐกิจทั้งต่อผู้ป่วยครอบครัวและประเทศ โดยพบว่างบประมาณในการล้างไตสูงขึ้นทุกปี ในปีงบประมาณ พ.ศ.2561 สูงถึง 8,000 ล้านบาท ซึ่งผู้ป่วยโรคไตรายใหม่ที่มีสาเหตุมาจากการใช้ยาต่างๆจำนวนไม่น้อย โดยการใช้ยาที่ส่งผลต่อโรคไต เช่น การใช้ยาชุดผสม

สเตียรอยด์และยาต้านการอักเสบเอ็นเสดที่แพร่กระจายในหลายพื้นที่ และพบว่ามีผู้ใช้ติดต่อกันนานเป็นปีจนถึงขั้นไตวายนอกจากนี้ในชุมชนยังมีปัญหาความเสี่ยงต่อโรคไตได้แก่ การฉีดยาต้านอักเสบที่ไม่ถูกต้อง ยาที่อนุญาตขึ้นทะเบียนยาไม่เหมาะสม สุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ผู้บริโภคได้รับอันตรายต่อไต เช่นยาสูตรผสมระหว่างยาต้านอักเสบเอ็นเซดกับสเตียรอยด์และวิตามิน มีการอนุญาตทะเบียนยาที่อ้างบำรุงไตหรือล้างไตที่ไม่มีประสิทธิภาพ จะทำให้ผู้ป่วยอาจละเลยการดูแลไต จนโรคลุกลามได้ การกระจายของยาสมุนไพรแผนโบราณที่นำเข้าและมีการลักลอบใส่ยาต้านอักเสบจนมีผู้เสียชีวิต รวมถึงการไม่จัดการปัญหาโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพบำรุงไตเกินจริง จนทำให้ผู้ป่วยหลงเชื่อหาซื้อมาบริโภค จนเกิดความเสียหายทั้งด้านการเงินและสุขภาพ

ผศ.ภญ.ดร.นิยดา กล่าวว่า กพย. และเครือข่ายเรียกร้องให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นมีการแก้ไขปัญหาดังนี้ 1) เร่งสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ยากับปัญหาการเกิดโรคไตผ่านการให้ความรู้แก่ประชาชนและสังคมที่เป็นเรื่องปลายน้ำ 2) จัดทำข้อมูลเพื่อเตือนภัยเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ปลอมปน Advertisement

สเตียรอยด์หรือเอ็นเสด โดยอาจทำผ่านระบบ Single Window ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จัดทำขึ้น 3) ในเรื่องต้นน้ำ จำเป็นต้องมีการทบทวนทะเบียนตำรับยา ถอนทะเบียนยาที่ไม่มีประสิทธิผลหรือที่ไม่เหมาะสมเป็นอันตราย หรือจัดประเภทยาใหม่ เช่นยาต้านอักเสบชนิดฉีด ต้องปรับให้เป็นยาควบคุมพิเศษ และ 4) จัดระบบเฝ้าระวังโรคไต โดยการ scan หรือระบบตรวจคัดกรองหากลุ่มเสี่ยงต่อโรคไตทั้งใน โรงพยาบาลและในชุมชน เพื่อค้นหาสาเหตุ กำหนดวิธีป้องกันและแก้ไขปัญหา 5) การจัดระบบการควบคุมการกระจายยากลุ่มเสี่ยงทั้งยาชุด ยาตำรับไม่เหมาะสมให้เข้มงวดมากขึ้น ให้สามารถติดตามได้ว่าทำไมยาจึงออกจากโรงงานผลิต ไปอยู่ในยาชุดขายในชุมชนได้อย่างไร 6) ในการส่งเสริมการใช้ยาที่เหมาะสมของบุคลากรการแพทย์ในโรงพยาบาล กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จำเป็นต้องนำฐานข้อมูลการใช้ยาที่มีอยู่เพื่อชี้เป้าปัญหาการใช้ยา ลดปัญหาการจ่ายยาเอ็นเสดซ้ำซ้อน รวมทั้งการเฝ้าระวังปัญหากรณีผู้ป่วยที่เกิดโรคไตจากการใช้ยาเข้ามารักษา

นายธนพล ดอกแก้ว ประธานชมรมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย และประธานครือข่ายพลเมืองขับเคลื่อนสิทธิด้านสุขภาพ (Healthy Forum) เครือข่ายผู้ป่วยโรคเรื้อรัง กล่าวว่า ตนป่วยด้วยโรคไตวายเรื้อรังซึ่งปัจจุบันนี้ได้รับการปลูกถ่ายไตแล้ว สาเหตุของการป่วยเป็นไตวายเกิดจากการใช้ยาสมุนไพรและการซื้อยากินเอง โดยเชื่อการโฆษณาว่ายาสมุนไพรสามารถบำรุงล้างไต ซึ่งมีราคาแพงถึง 7,000+25,000 บาท แต่กลับป่วยเป็นไตวาย

เพราะยาเหล่านี้ไม่ใช่การรักษาที่ถูกต้อง ทำให้ใช้ชีวิตที่ลำบากและทรมานมากมีชีวิตรอดมาได้ด้วยการฟอกเลือด 3 ครั้งต่อ 1 สัปดาห์ติดต่อกันถึง 10 ปี กว่าจะได้เปลี่ยนไต จึงไม่ควรเชื่อยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารรวมทั้งยาสมุนไพรต่างๆที่เกินจริง ความจริงแล้วผู้ป่วยโรคไตวายทั่วไปต้องกินยาตามแพทย์สั่ง ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายมีวิธีการบำบัดทดแทนไต ดังนั้นผู้ป่วยโรคไตในระยะเริ่มต้น ถ้าหากซื้อยากินเองตามคำชวนเชื่อหรือคำโฆษณาอาจจะทำให้ไตวายเร็วขึ้นและเสียชีวิตได้

ขอขอบคุณที่มาจาก : tnnthailand.com